วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตอนจบของ 127 hour

สนุกและตื่นเต้นมากสำหรับตอนจบยอดเยี่ยม สวยงาม ประทับใจ ขอเรียกว่า killer scene ที่กระชากความรู้สึก และเป็นสำคัญของหนังที่ได้ใจมาก ตั้งแต่ Franco ในสภาพอ่อนแรงพลางตะโกนเสียงแหบแห้งขอความช่วยเหลือจากครอบครัวที่พบเสมือนหนึ่งปาฎิหารย์ต่อลมหายใจ การดื่มน้ำอย่างกระหาย ภาพสโลโมชั่นของการปรากฏตัวของเฮลิคอปเตอร์ ฉากทุกฉากนี้ประกอบกับเพลงที่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ เป็นฉากสำคัญที่ทำให้ฉากทั้งหมดนี้กินใจเรา


           Image Hosted by ImageShack.us                     

ฉากจบของ 127 hour

ในเรื่องนี้ฉากจบลุ้นมากแต่รายละเอียดของมันนั้นทำให้ตอนจบดูยอดเยี่ยมสวยงาม ประทับใจมากค่ะ ขอเรียกว่า Killer scene ที่กระชากความรู้สึก และเป็นส่วนสำคัญของหนังที่เร้าใจ และตื่นเต้นมากแต่รายละเอียดของมันนั้นกลับทำให้เป็นตอนจบที่ยอดเยี่ยม สวยงาม ประทับใจ
ขอเรียกว่า killer scene ที่กระชากความรู้สึก และเป็นส่วนสำคัญของหนังที่ได้ใจเรามาก


ตั้งแต่ Franco ในสภาพอ่อนแรงพลางตะโกนด้วยเสียงแหบแห้งขอความช่วยจากครอบครัวที่พบเสมือนหนึ่งปาฏิหาริย์ต่อลมหายใจ การดื่มน้ำอย่างหิวกระหาย ภาพสโลโมชั่นของการปรากฏตัวของเฮลิคอปเตอร์ ฉากทุกฉากนี้รวมกันไว้ด้วยเพลงแบ็กกราวน์ที่บรรเลงประกอบซึ่งให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ฉากทั้งหมดนี้กินใจเรา

นับแต่วินาทีที่หูสัมผัสมัน นอกจากเราต้องยับยั้งปากไม่ให้กรี๊ดดดดดดดดขึ้นกลางโรงฯ แล้ว ยังต้องจับหัวใจที่เต้นตึงๆ และเช็ดน้ำตาที่รินไหลอาบข้างแก้มทีละนิดๆ ด้วย

ขอบคุณ Danny Boyle ที่เลือกเพลง Festival ของ Sigur Ros love
เป็นครั้งที่สองที่เห็นเพลง Sigur Ros อยู่ในหนังเขา หลังเทรลเลอร์ของ Slumdog จัด Hoppipolla แบบซึ้งตรึงใจไปแล้วรอบนึง

นี่เป็นวงที่มีเพลงเหมาะกับการใช้ประกอบหนังในอารมณ์ความหวัง ความอิ่มเอิบและซึ้งตรึงใจมากที่สุดวงนึง

และในช่วงท้ายๆ ของเพลง Festival ที่อยู่ในหนังได้จับจิตเราขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงบรรเลงที่ดังขึ้นๆ และฉากของหนังในอารมณ์ที่ความหวังบังเกิด ความเจ็บปวดบรรเทา อิสรภาพถูกค้นพบ

หนังบางเรื่องยิ่งใหญ่ได้เพราะองค์ประกอบหลายอย่าง ตอนจบของ 127 Hours คือหนึ่งในหนังที่สมบูรณ์แบบด้วยเพลงประกอบที่เร้าอารมณ์ความรู้สึกได้ยอดเยี่ยม


Aron Ralston ไม่เพียงแต่ให้แรงบันดาลแก่คนในการมีชีวิตอยู่ หรือถ่ายทอดปาฏิหาริย์ที่ต่อลมหายใจชีวิตหนึ่งชีวิตได้เท่านั้น หนังยังแสดงให้เห็นถึงคาแร็กเตอร์ของเขาที่เป็นคนวัยหนุ่มแสวงความท้าทายและการผจญภัยในชีวิต หันหลังจากชีวิตตื่นเต้นในเมืองไปดื่มด่ำกับความเรียบง่ายของธรรมชาติ ฉากตอนแรกที่เขาขับรถออกจากเมืองไปหุบเขาที่ยูทาห์แสดงให้เห็นถึงแสงสี ความศิวิไลซ์ วุ่นวายขัดแย้งกับที่ที่ซึ่งเขากำลังจะไป

Franco เยี่ยมมากถึงมากที่สุด รู้สึกโชคดีที่ได้ดูหนังหลังจากเห็นผลลัพธ์อันเลวร้ายในเป็น host ออสการ์ของเขา ฉะนั้นครั้งนี้จึงให้อภัยได้

สไตล์ของ Boyle ยังเป็นเอกลักษณ์ในเรื่องนี้เหมือนเดิม เรื่องนี้หลายมุมดูแล้วนึกถึง 28 Days Later โดยเฉพาะเรื่องการพยายามมีชีวิตอยู่รอดของตัวละคร เรื่องการตัดต่อ ดนตรีประกอบ และการกำกับก็อยู่ในมาตรฐานอันดีงามของ Boyle ด้วย


ส่วนตัวรู้สึกชอบ 127 Hours เป็นอันดับสองในบรรดาหนังของเขา รองจาก Trainspotting



ป.ล. ขออภัยถ้าจะพล่ามเรื่อง Sigur Ros มากกว่าหนัง แต่ฉากจบ+เพลง มันสุดยอดมากจริงๆ ขนลุก!
ความจริงเพลง If I Rise ก็ยอดเยี่ยมและสร้างอารมณ์ให้หนังได้เหมือนกันแหละ ยิ่งฉากแสงอาทิตย์อาบไล้เข้ามาตอนนั้นน่ะ!